PC/tablet | กลับสู่หน้าหลัก | smartphone |
Share | Webmaster: paul yves wery | contact@ |
www.PrevAIDS.org - Science and HIV ไวรัสไม่ใช่แบคทีเรีย ไม่ใช่เชื้อรา และก็ไม่ใช่ปรสิต! A virus is not a bacteria, nor a fungus nor a parasite! จุลินทรีย์ หรือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมี 4 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ There are four kinds of microbes which can affect our health: the parasite, the fungus, the bacteria and the virus… 1. ปรสิต (The parasites) ปรสิตเป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ลักษณะที่คล้ายมนุษย์คือมันมีอวัยวะ บางชนิดอาจมีแขน และ มีอวัยะเพศ มันผสมพันธุ์และออกลูกได้เหมือนสัตว์ทั่วไป ปรสิตที่รู้จักกันมากที่สุดคือ “หิด” อยู่ในผิวหนัง, และพยาธิชนิดต่าง ๆ ในลำไส้ เป็นต้น ปรสิตแต่ละชนิดกำจัดได้ด้วยสารต่อต้านโดยเฉพาะ เช่น ยารักษาหิดและเหา รวมถึงยาเมเบนดาโซลที่ใช้รักษาพยาธิบางชนิด เป็นต้น -They are the biggest of the microbes. Like us, the parasites have organs; some kinds of parasites even have arms, sex, etc. With adequate nutrition, parasites can make progeny by themselves. The most famous parasites are "scabies" (little insects living in our skin), "malaria" (in our blood and in bodies of mosquitoes), "taenia" and other worms (in our intestine); etc. Each parasite is destroyed by a specific anti parasite (quinine for malaria, insecticide for scabies and louse, mebendazole for some worms, etc…) 2. เชื้อรา (The fungus) เชื้อ รา เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดใหญ่ได้เหมือนกัน แต่มันไม่มีอวัยวะที่ทำหน้าที่เฉพาะอย่างเหมือนกับมนุษย์หรือปรสิต มันไม่มีเพศ ไม่มีสมอง และไม่มีลำไส้ ทุกเซลล์ของเชื้อราแทบจะมีลักษณะเหมือน ๆ กัน มันขยายพันธุ์ด้วยการแบ่งเซลล์ เชื้อราที่รู้จักกันดี คือ กลาก ที่พบตามผิวหนังและหนังศีรษะ "candida" พบที่ปากและแก้มก้น เป็น ต้น การฆ่าเชื้อราสามารถทำได้โดยวิธีการยับยั้งการเจริญของเชื้อราเฉพาะอย่าง เช่น ไนส์เตอติน ซึ่งเป็นยาต้านเชื้อราที่ได้จากเชื้อสเตรปโทไมซิส ใช้รักษาเชื้อราชนิด แคนไดด้า ฟลูโคนาโซล ที่ใช้รักษากลาก เป็นต้น They can also be very big but unlike parasites and us, they do not have organs made by different kinds of specialized cells: no sex, no brain, no intestine, etc.. All the cells of fungus are nearly similar. But, with adequate nutrition, fungus are able to proliferate by themselves. The most famous fungus are "tinea" (on skin, scalp…), "candida" (mouth, buttocks…), etc. To kill the fungus, we use anti mycosis treatment like nystatin (for candida), fluconazole (tinea…) 3. แบคทีเรีย (The bacteria) เป็นจุลลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กมากๆ เราต้องใช้กล้องจุลทรรศน์จึงจะมองเห็นได้ แบคทีเรียไม่มีอวัยวะ เพราะว่าอวัยวะจะต้องเกิดจากการรวมตัวของเซลล์นับพัน แต่แบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว มันขยายพันธุ์ด้วยการแบ่งเซลล์แบบทวีคูณ แบคทีเรียที่รู้จักกันดี เช่น "staphylococcus", "streptococcus", "gonococcus" ฯลฯ การฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในร่างกายของเราต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น cloxacillin ใช้กำจัด staphylococcus, ยาเพนิซิลิน ใช้รักษา “streptococcus” They are little and we need microscope to see them. One bacteria is one unique cell and of course do not have organs since each organ is made by thousands of cells! But, with adequate nutrition, a bacteria is able to make progeny by dividing themselves in 2 independent cells. Most famous bacteria are "staphylococcus", "streptococcus", "gonococcus", etc. To kill the bacteria which settle in our body, we use antibiotics. (cloxacillin for staphylococcus, penicillin for streptococcus…) 4. ไวรัส (The viruses) ไวรัส เป็นจุลินทรีย์ที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งต้องใช้กล้องจุลทัศน์อิเลคทรอนิคจึงจะสามารถมองเห็นมันได้ มันเล็กมากจนกระทั่งเราสามารถบรรจุไวรัสนับพันไว้ในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต เพียงเซลล์เดียว ความจริงแล้วไวรัสเป็นเพียงกล่องเล็ก ๆ ที่บรรจุสารพันธุกรรมบางอย่างเอาไว้ เช่น ดีเอ็นเอ อาร์เอ็นเอ มันไม่สามารถขยายพันธุ์ได้จากการอ่านสารพันธุกรรมของตัวเอง แต่มันจะฉีดสารพันธุกรรมของตัวเองเข้าไปในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่งอาจจะเป็นเซลล์ของมนุษย์ ปรสิต รา หรือแบคทีเรีย จากนั้นเซลล์ที่ติดเชื้อจะอ่านสารพันธุกรรมของไวรัสแล้วตอบสนองต่อคำสั่งของ ไวรัส เช่น สร้างไวรัสรุ่นใหม่ หรือทำลายหน้าที่ปกติของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ ไวรัสที่รู้จักกันดี ได้แก่ "herpes" ที่ี่ทำให้เกิดโรคงูสวัด เริม สังคัง “hepatitis” หรือไวรัสตับอักเสบ "influenza” เชื้อไข้หวัดใหญ่ และเชื้อเอชไอวี การ ฆ่าไวรัสนั้นทำได้ยากมากเพราะเราจะไม่รู้เลยว่ามีไวรัสอยู่ สิ่งที่ต้องทำคือการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อและแพร่ไวรัส แต่เซลล์เหล่านั้นก็จะดูเหมือนกับเซลล์ปกติ ! แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเซลล์ใดติดเชื้อหรือไม่ ? วิธีการอย่างหนึ่งที่พอจะทำได้คือการทำลายบริเวณภายในเซลล์ซึ่งใช้ในการอ่าน สารพันธุกรรมของไวรัส...แต่จะใช้สารพิษอะไรไปห้ามไม่ให้มีการอ่านสารพันธุ กรรมของไวรัสโดยที่ไม่ไปทำลายการอ่านสารพันธุกรรมของเซลล์ตามปกติ ?They are the most little microbes. We need an electronic microscope to see them. They are so little that we can insert hundreds of virus inside only one cell. In fact, a virus is just a little pack containing some genetic messages (DNA, RNA …). The virus is unable to reproduce himself by reading his own genetic material. The virus have to "inject" his genetic material inside a cell (can be a cell from us, from a parasite, a fungus cell or a bacteria). It is the infected cell which will read the genetic material of the virus and by that way execute the order of the virus (for instance, make new generation of virus or disturb the usual function of the host). Most famous viruses are "herpes", "hepatitis", "influenza"…and HIV. To kill a virus is something difficult to do since we can even not consider that a virus is alive… What we have to do is to kill the cells which reproduce the virus. But infected cells look exactly like uninfected cells! How the poison can recognize infected cells from non infected cells? Another strategy could be to attack the area inside the cells which are used to read the genetic material of virus… but how to find a poison which forbidden specifically the cell to execute the genetic material of virus without blocking the reading process of its native genetic material?
ซีดี 4 คือแม่ทัพในกองทหารของเรา (เป็นระบบภูมิคุ้มกันของเรา) "CD4" is the general of our defense army (our immunity system). โชค ดีที่ร่างกายของเรามีกองทหารคอยต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ มันคือระบบภูมิคุ้มกันของเรานั่นเอง ทหารของกองทัพเปรียบกับเซลล์เม็ดเลือดขาวที่อยู่ในเลือด ในกองทัพที่ซับซ้อนเหล่าทหารจะแบ่งกันทำหน้าที่เฉพาะด้าน เช่น กองทัพนาวิกโยธิน กองทัพอาก า ศ กองทัพบก หน่วยสื่อสาร แม่ทัพ เจ้าหน้าที่ระดับสูง ฯลฯ ระบบภูมิคุ้มของร่างกายเราก็เช่นกัน ในการต่อสู้กับเชื้อโรคเรามีเม็ดเลือดขาวหลายชนิดซึ่งทำหน้าที่แตกต่างกันไป เช่น lymphocytes, polynuclears, neutrophiles, eosinophiles, monocytes เป็นต้น บางชนิดคอยแยกแยะว่าสิ่งใดคือเชื้อโรค บางชนิดส่งข้อมูลไปถึงเซลล์เม็ดเลือดขาวตัวอื่น บางชนิดผลิตสารต่อต้านซึ่งทำให้เมล็ดเลือดขาวตัวอื่นมองเห็นศัตรูได้ง่าย ขึ้น บางชนิดทำให้เกิดการอักเสบซึ่งเป็นวิธีการเตรียมสนามรบให้ต่อสู้ได้ง่ายขึ้น บางชนิดสามารถเจาะแบคทีเรียบางอย่างให้เป็นรูได้ บางชนิดจะทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อซึ่งรวมถึงไวรัสด้วย บางชนิดอาจจะ “กิน” หรือ “ย่อย” จุลินทรีย์โดยตรง ใน สงครามที่ซับซ้อน กองทัพต้องมีกลุ่มแม่ทัพ หรือนายพันซึ่งทำหน้าที่จัดทัพ ออกคำสั่ง และกำหนดยุทธวิธีการรบ ในระบบภูมิคุ้มกันของเราก็เช่นกันเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิดจะทำงานร่วมกับ เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดอื่น ส่วนเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดที่เป็นทีมผู้นำซึ่งเราอาจเรียกว่าเป็น “แม่ทัพ” ของระบบภูมิคุ้มกันนั้นมีชื่อเรียกว่า “ซีดี 4”Fortunately, our body has an army to fight again microbes. It is our "immunity system". The soldiers of that army are the "white cells" of our blood. In any sophisticated army, the soldiers are divided in different kinds of specializations (marine, air, infantry, communication, MP, high officers, etc). The immunity system is the same. There are many different kinds of white cells in our blood (lymphocytes, polynuclears, neutrophiles, eosinophiles, monocytes, etc.). Each kind of white cells has his particular duty during a fight with the enemies of our body. Some are dedicated to recognize who is an enemy and who is not. Some will send information to other white cells, some will produce antibodies which can make enemy easier to recognize by other fighters, some will induce inflammatory reaction which is a way to prepare the battle field for easy battle, some are dedicated to "perforate" some kinds of bacteria, some will kill infected cells which include virus, some can "eat” and "digest" directly specific microbes, etc.) A war is something so complex that each army needs a leading team (generals, colonels…) to organize the soldiers, to give orders and to elaborate complex strategies again enemies. It is the same for our immunity system. Some white cells are organizing the work of other white cells… One kind of those leading white cells that we can consider as the "generals" of the immunity system has a strange name: "CD4"….
HIV ชอบซีดี 4 ของเรา "HIV" loves our "CD4". เอชไอวี ไม่ใช่แบคทีเรีย ไม่ใช่รา หรือปรสิต (ดูรายละเอียดข้างบนในหน้าเดียวกัน) แต่มันเป็นไวรัสซึ่งชอบอยู่ในเซลล์ซีดี 4 ของเรา มันทำให้เกิดความผิดปกติ ตัวอย่างเช่น เอชไอวีจะใช้ซีดี 4 ของเราช่วยในการขยายพันธุ์ตัวมันเอง เมื่อซีดี 4 รู้สึกว่ากำลังถูกโจมตี (หรือติดเชื้อ) มันจะออกคำสั่งไปยังเม็ดเลือดขาวชนิดอื่น แต่การจะออกคำสั่งได้ ซีดี 4 ต้องอ่านสารพันธุกรรมดั้งเดิมของตนเองไปด้วย ซึ่งถ้ามีไวรัสปะปนอยู่ในสารพันธุกรรมนั้น มันก็จะต้องอ่านสารพันธุกรรมของไวรัสไปพร้อม ๆ กัน นั่นหมายความว่าเมื่อซีดี 4 ทำงานมันจะผลิตไวรัสตัวใหม่แล้วแพร่เชื้อไปติดซีดี 4 ตัวอื่น ๆ และทุกครั้งที่ระบบภูมิคุ้มกันของเราต้องการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ ก็จะต้องทำลายซีดี 4 ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญไปด้วย นัก วิทยา ศาสตร์บางคนค้นพบยาที่ลดการแพร่กระจายของเชื้อเอชไอวี ซึ่ง ได้จากเม็ดเลือดขาวซีดี 4 ที่ติดเชื้อ แต ่มันเป็นงานที่ไม่ง่ายและมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมาก เพราะเซลล์ซีดี 4 ทั้งที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อนั้นแทบจะเหมือนกัน ยาจึงไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ เราไม่เคยต่อสู้กับศัตรูที่ฉลาดอย่างนี้มาก่อน เราไม่เคยต่อสู้กับแม่ทัพจากกองทัพของเราเอง ! มันดูราวกับเป็น การต่อสู้ที่ ค่อนข้าง ซับซ้อน แต่ในความจริงมันซับซ้อนอย่างมาก คำ อธิบายเกี่ยวกับสนามรบกับเอชไอวีในเนื้อหานี้ถูกทำให้ง่ายที่สุดเพื่อให้ผู้ ที่ไม่ได้อยู่ในวงการแพทย์สามารถเข้าใจได้ ผู้ที่ต้องการทราบรายละเอียดเกี่ยวกับเอชไอวีและระบบภูมิคุ้มกันมากกว่านี้ สามารถหาอ่านเพิ่มได้จากเว็บไซท์ หรือหนังสือต่าง ๆHIV is not a bacteria nor a fungus nor a parasite... but a virus (see up on same page)! HIV is a virus which is very interested to settle in our CD4 cells (see up on same page). It induces some paradoxes: for instance, HIV is using the leader of our immunity system to make its own progeny. Each time one of our "generals" (CD4) feels that we are attacked (infected), he has to give orders to the other white cells …but to be able to give orders the CD4 must read his own native genetic material. Each time the general reads his genetic material, he read also the genetic material of the virus since the virus has mixed his genetic material with the genetic material of the CD4. In other words, each time the general has to work, he produces some new viruses which go to infect the other generals which are not yet infected… And each time our own immunity system wants to kill the infected cells, it kills an important actor of our immunity system: the CD4. Some scientists have found some drugs which try to reduce specifically the production of HIV viruses by our own infected CD4 cells but you can imagine that it is a delicate work. Side effects are enormous because infected and non infected CD4 cells is nearly identical. The drugs can not fight with absolute specificity. Never, in the human history, we had to fight with such clever enemy. We never had to fight again the generals of our own army! It looks like a quite complex fight, but in reality, it is much more complicated. The description of the battle field with HIV is extremely simplified in this text to make it readable by persons who are not in the medical field. Readers who want to know more details about HIV and our immune system are invited to consult some dedicated websites or books…
AIDS เช่นเดียวกับกองทัพ หากแม่ทัพเสีย ชีวิต ก็จะมีแม่ทัพอีกคนขึ้นมา ทำหน้าที่ แทน ถ้าหากเซลล ์ ซีดี 4 ตาย เพราะเหนื่อยล้าจากการที่มีไวรัสเกิดขึ้นตลอดเวลา (คำนิยามของไวรัส ดูข้างบน) หรือเพราะมันถูกนายทหาร ( เม็ดเลือดขาว) ที่รับคำสั่งมาจากแม่ทัพ (หรือซีดี 4) ตัวอื่นสังหาร (ภูมิคุ้มกันทำงานอย่างไรดู ข้างบน) หรือเพราะมันถูกยาหรือระบบการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งทำลาย ก็จะมีเซลล์ซีดี 4 มาทำงานแทน ในช่วงเวลา ประมาณ 7 ปีโดยเฉลี่ย ระบบภูมิคุ้มกันที่ติดเชื้อเอชไอวีจะยังทำหน้าที่สู้รบได้ตามปกติ ซึ่งช่วงนั้นผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี อาจแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้โดยไม่แสดงอาการใด ๆ ไม่มีสัญญาณภายนอกบ่งบอกได้ว่าเขาหรือเธอผู้นั้นใช้ชีวิตอยู่กับเอชไอวี ซึ่งเราเรียกว่า “ระยะฟักตัว” แต่ เซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นแม่ทัพจะลดน้อยลงอย่างช้า ๆ เมื่อผ่านไป 7 ปีจะไม่มีซีดี 4 มากพอที่จะมาแทนที่เซลล์ที่ตายไปเพื่อจะสู้กับศัตรูของร่างกาย (เราไม่สามารถรับซีดี 4 จากผู้อื่นได้ เพราะซีดี 4 ที่รับเขามามันจะรู้ว่าสภาพแวดล้อมใหม่ของมันนั้นเป็นร่างกายอื่นที่แปลก ปลอม และเป็นศัตรูที่มันจะต้องต่อสู้) ภายหลัง 7 ปี ก็จะเริ่มต้นการเป็นโรคแปลก ๆ ที่เรียกว่า “เอดส์” ผู้ ป่วยโรคเอดส์ยังมีนายทหารที่เป็น เซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ ในเลือดเป็นจำนวน มาก แต ่ไม่มีการจัดการกองทัพ เพราะไม่มีแม่ทัพ ขาดคำสั่งการที่ดี และขาดยุทธวิธีคุ้มกันเพื่อต่อสู้กับศัตรู จึงทำให้การทำงานของนายทหารผิดเกิดความผิดพลาดได้มาย เป็นต้นว่า ไม่มีการตรวจจับศัตรูซึ่งโดยปกติจะฆ่าได้ง่าย ๆ เช่น แบคที่เรียชนิดนิวโมไซส์ติส ที่เป็นสาเหตุของโรคปอดบวม เชื้อราชนิดคริปโตคอคัส และ ปรสิตโตโซ พลาสโมซิส ฯลฯ ความผิดพลาดเหล่านี้ทำให้เกิด “ โรคฉวยโอกาส ” ต่าง ๆ Like in all the armies of the world, if one general is killed, another general will take his position. When a CD4 cell dies because "too tired" with its perpetual production of viruses (see up definition of a virus), or because he is killed by a soldier who has received an order from another general (see up how work immunity), or because he is killed by a drug or any other therapeutic system, another CD4 cell will replace him. During an average of 7 years, the immunity system infected by HIV is still able to fight normally against nearly all common infections. During that time; the infected person can infect other persons with HIV but does not have any symptoms, any external signs indicating that he/she is living with HIV in his/her body. We call that the "latent period". But slowly and surely, the total number of available generals goes down. After an average of 7 years, there are not enough CD4 anymore to replace the death one, to fight enemies of our body. (We can not receive the CD4 of another person by transfusion because coming from another person, the imported CD4 will simply consider that all his new environment is a "foreign body", a enemy to fight…) A patient with AIDS still has a lot of soldiers (white cells) in his blood… but those soldiers are not organized because of the lack of generals, the lack of good orders and the lack of good immune strategies to fight enemies. The soldiers will make a lot of mistakes when working. For instance, they will not detect enemies which are usually easy to kill (pneumocystis, cryptococcus, toxoplasmosis, etc.). These mistakes will be the causes for what we call " opportunistic infections ". เมื่อไม่ได้รับคำสั่ง ท ี่ชัด เจน เซลล์เม็ดเลือดขาวจะสับสนระหว่าง ศัตรูกับส่วนประกอบในร่างกายของเรา ทำให้เกิดโรค “แพ้ ภูมิ คุ้ม กัน ตน เอง” บางที่ นายทหาร เซลล์เม็ดเลือดขาว จู่ โจมโมเลกุลบางอย่างที่ไม่เป็น อันตราย ต่อตัวเราอย่างรุนแรงเกินไป ( ทำให้ เราเป็น ภูมิแพ ้ ร วมทั้งแพ้ยา รักษาโรคบางชนิด) บางครั้ง นายทหาร เซลล์เม็ดเลือดขาว จะ ไม่สามารถ แยะ แยกความแตกต่าง ระหว่างเซลล์ผิดปกติของเราเอง ซึ่งในภาวะปกติระบบภูมิคุ้มกันของเราจะทำลายเซลล์นั้น เช่น มะเร็ง และ ในที่สุด หากไม่มีการรักษาใดๆ เลย ในระยะเวลา หนึ่งปีที่มีการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา และ 8 ปีหลังจาก ที่ได้รับเชื้อมา ผู้ป่วยโรคเอดส์ก็จะตายได้ เพราะร่างกาย ที่อ่ อนล้า จะถูกโรคต่าง ๆ รุมเร้าได้ง่าย ๆ จนไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป ตอน นี้เรารู้แล้วว่าทำไมเอดส์ ทำให้มี อาการ ได้ หลายอย่าง และ ทำให้เป็นได้หลาย ๆ โรค ซึ่งบางโรคก ็เป็นโรคธรรมดา แต่บางโรคก็แทบจะไม่เคยพบก่อนหน้าที่จะมีการพบโรคเอดส์ในโลกนี้ บางโรค รักษาได้ด้วย ”ยาคลาสิค” แต่บางโรคก็ไม่อาจเยียวยาได้ ผู้ ที่เสียชีวิตนั้น ไม่ได้ตายเพราะโรคเอดส์อย่างเดียวแต่ด้วย สาเหตุอื่น ๆ อีกหลายอย่าง หากต้องการรับรู้เกี่ยวกับโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระยะสุดท้ายของการเป็นเอดส์ ( ติดต่อหรือไม่ ) สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ " www.AIDS-HOSPICE.com " Without adequate orders, the solders will sometimes be confused between an enemy and a part of our own body (cause of "auto immune disease"). Sometimes, soldiers will attack too strongly some molecules which are not dangerous for us (cause of "allergy"… including the allergy to some curative drugs). Sometimes, soldiers will not be able to make a clear distinction between our own abnormal cells which would be destroyed by our immunity system in normal conditions (cancer…), etc. Finally, without treatment, after around one year of perpetual fight, 8 years after contamination, the AIDS patient will die because too much is too much… the exhausted body is simply overtaken by the flux of diseases and refuses to fight longer. Now we understand why AIDS can give so many kinds of symptoms and so many different diseases… Some are common diseases and some other diseases were extremely rare before the AIDS's era. Some are curable with "classic" medicines and some are not curable. There is no one way to die from AIDS but many ways. If you want to know more about the diseases (infectious or not) occurring during last stage of AIDS, go to visit " www.AIDS-HOSPICE.com "
ดูรายละเอียดสาเหตุการติดเชื้อเอดส
About treatments ปัจจุบันนักวิทยาศาตร์ได้ค้นพบ โมเลกุลบางชนิด ท ี่สามารถก่อกวนไม่ให้เซลล์ที่ติดเชื้อสร้างไวรัสตัวใหม่ขึ้นมา ซึ่งหมายความว่าเราสามารถที่จะลดจำนวน เช ื้อไว้รัสในร่างกายของผู้ติดเชื้อลงได้ ซึ่งจะลดการแพร่เชื้อและ ผลข้างเคียง ต่าง ๆ อันเป็นผลร้ายของเอดส์ แต่ แน่นอนว่ายาชนิดนี้ไม่สามารถกำจัดสารพันธุกรรมของไวรัส ที่เข้าไปรวมอยู่กับสารพันธุกรรมในเซลล์ของเรา ดังนั้นหากผู้ป่วยเอดส์หยุดใช้ยา สารพันธุกรรมของเอชไอวีจะถูกอ่านอีกครั้งและเชื้อไวรัสก็จะเพิ่มขึ้น Scientists have now a few molecules able to interfere nearly specifically with the production of new HIV viruses by the infected cells. It means that we are able now to drastically reduce the number of viruses in the HIV infected body which becomes less contagious and less affected by the bad effects of AIDS. Of course such drugs are unable to eliminate the genetic material of the viruses which is totally integrated in the genetic material of our own cells... It means that, when an AIDS infected person stops to take such drugs, the genetic material of HIV is read again and the viral load is increasing directly... ทุกวันนี้ เราไม่สามารถรักษาเอดส์ให้หายขาดได้ แต่สามารถลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายผู้ติดเชื้อให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าในอดีต TODAY WE CAN NOT CURE AIDS BUT WE CAN REDUCE THE NUMBER OF VIRUSES IN THE INFECTED BODY TO A VERY LOW LEVEL. PATIENT CAN SURVIVE LONGER THAN IN THE PAST. ปัญหาจากการใช้ยาต่างๆ - The problems induced by those drugs are:
|